“ผมมีเวลามากและคิดว่าตัวเองต้องการทำอะไรบางอย่างก่อนจะกลายเป็นคนว่างงาน ผมคิดว่าการเป็นประธานสโมสรฟุตบอลคงเป็นการเริ่มต้นที่ดี ผมได้ยินมาว่า แมนฯซิตี้ อาจเป็นทางเลือกสำหรับผม และผมก็สนใจทันที ผมตั้งเป้าหมายที่จะปลุกสโมสรยักษ์หลับแห่งนี้ขึ้นมา”
(จากหนังสือ แม้วไม่โม้)
นายกรัฐมนตรีไทยที่วิสัยทัศน์ล้ำยุคสุดๆ คิดอะไรได้ไกลและคิดได้ก่อนคนอื่นเสมอ คงต้องยกให้ ดร.ทักษิณ ชินวัตร นโยบายหลายเรื่องและไอเดียธุรกิจหลายอย่างพิสูจน์ความจริงข้อนี้ได้ดี แต่ที่เห็นจะ “หวือหวา” มากๆ และทำให้เหล่าคนขี้อิจฉาที่ออกมาถล่มดร.ทักษิณ ทุกเรื่อง ถึงกับ “หน้าแตก” กันระนาว คงไม่เกินเรื่องซื้อทีมเรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ซิตี้
คนวิสัยทัศน์สั้นแห่กันออกมาแสดงทัศนะขบขันและดูแคลนว่าเป็นเรื่อง “ตลก” ส่วนคนวิสัยทัศน์ไกลต่างแสดงความเห็นว่านี่เป็นเรื่องน่า “ตะลึง” และน่ายินดีของคนไทยทั้งประเทศ
รวมฮิต “คนหน้าแตก”
“ฟุตบ๊อง” แม้วลวงโลก
สื่อผู้ดีแฉข่าวฮุบเรือใบมั่ว”
พาดหัวหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ 21 พฤษภาคม 2550)
“เป็นเรื่องไม่จริง ให้เป็นข่าวขึ้นมาเท่านั้นเอง ให้เป็นเรื่องโจ๊ก และจบกันไป ใครมีเงินขนาดนี้แล้วจะไปซื้อ ซื้อไปทำไม ซื้อไปก็เป็นภาระด้วย และแมนฯซิตี้ ตัวเลขขาดทุนด้วย คงเป็นการทำข่าวขึ้นมาเพื่อกลบเรื่องอื่น”
นายบรรหาร ศิลปอาชา
หัวหน้าพรรคชาติไทย
(คมชัดลึก 3 พฤษภาคม 2550)
“ถ้าจะซื้อจริงๆ ทำไมไม่ซื้อแมนฯยูฯ หรือลิเวอร์พูล เหมือนอย่างที่เคยโกหกหลอกลวงมาก่อน ไปซื้อทำไมแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งอยู่อันดับท้ายๆ ของลีก คนไทยน้อยคนมากที่เป็นแฟนฟุตบอลนี้ แต่ซื้อเพื่อขายความคิดว่าตัวเองนั้นสนใจทางด้านกีฬา ไม่สนใจการเมือง”
นายสนธิ ลิ้มทองกุล
รายการยามเฝ้าแผ่นดิน
(News1 Astv 4 พฤษภาคม 2550)
“พูดง่ายๆ คืออะไรที่ท่านพูด ดำหมายถึงขาว อะไรว่าขาวก็หมายถึงดำ ซึ่งไม่เชื่อว่าท่านจะซื้อจริง แต่คงเป็นการหวังสร้างกระแสข่าวขึ้นมาเท่านั้น”
นายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
(ไทยรัฐ 22 พฤษภาคม 2550)
นอกจากนี้ก็ยังมีคนดังอีกหลายคนที่ดาหน้าออกมาถล่มทั้งเยาะเย้ย ถากถาง ไม่เว้นแต่ละวัน แต่แล้วอีกประมาณ 2 เดือนถัดมา ทั้งสื่อไทยและสื่อต่างประเทศก็ต้องลงข่าวช็อควงการกีฬาครั้งใหญ่ เมื่อ ดร.ทักษิณ สามารถซื้อทีมแมนเชสเตอร์ซิตี้ได้สำเร็จด้วยเงินประมาณ 7 พันล้านบาท โดยซื้อหุ้นจากผู้บริหารเดิม 55.9 เปอร์เซ็นต์ และรวบรวมซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นรายย่อยอีกจำนวนหนึ่ง จนสามารถถือหุ้นเกิน 75 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เป็นเจ้าของแมนฯซิตี้ได้สำเร็จ!กลายเป็นนักธุรกิจไทยคนแรกและคนเอเชียคนแรกที่เป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลในพรีเมียร์ลีก ทำเอาผู้บ่าวขาเยาะหน้าแตกกันเป็นแถวๆ
นักธุรกิจรู้ดีว่าการซื้อทีมฟุตบอลสักทีมไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลย ไม่ใช่เฉพาะระดับทีมชั้นนำ แม้แต่ทีมในลีกชั้นรองๆ ของอังกฤษล้วนแต่ซื้อขายกันได้ยากเช่นกัน
การที่ดร.ทักษิณ ซึ่งเป็นคนเอเชียและคนไทยคนแรกซื้อทีมแมนเชสเตอร์ซิตี้ได้สำเร็จ จึงน่าจะได้รับคำชื่นชมและร่วมแสดงความยินดีจากคนไทย แต่ดูเหมือนคนไทยบางกลุ่มจะแยกแยะเรื่องการเมืองกับเรื่องกีฬาไม่ได้ แถมยังมีอุปสรรคเล็กๆ ตามมาเมื่อองค์กรสิทธิมนุษยชน ได้ยื่นจดหมายไปยังพรีเมียร์ลีก แสดงความกังวลถึงเรื่องความไม่เหมาะสมที่ดร.ทักษิณ เข้าไปเทคโอเวอร์แมนฯซิตี้ เนื่องจากเคยละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นรุนแรง โดยอ้างถึงเรื่องการปราบปรามขบวนการค้ายาเสพติด และเคยปราบปรามประชาชนใน 3 จังหวัดภาคใต้ ซึ่งตามหลักเกณฑ์แล้วพรีเมียร์ลีกเองจะตรวจสอบคุณสมบัติผู้ซื้อตามกฎเกณฑ์อย่างเข้มงวดถึง 3 ขั้นตอน และสุดท้ายก็ได้ตรวจสอบแล้วว่า ดร.ทักษิณผ่านคุณสมบัติครบถ้วน สามารถเป็นเจ้าของสโมสรได้อย่างถูกต้องตามกฎเกณฑ์ที่วางไว้
ปลุกยักษ์หลับขยับกางใบ
ด้วยความที่ ดร.ทักษิณ เป็นนักธุรกิจมืออาชีพ เมื่อได้เป็นเจ้าของทีมเรือใบสีฟ้าจึงถือเป็นความตื่นเต้นและท้าทายตัวเองที่จะได้บริหารธุรกิจที่ไม่เคยทำมาก่อนให้ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรก
เอม พินทองทา ชินวัตร ลูกสาวของ ดร.ทักษิณ เล่าถึงบรรยากาศเมื่อคุณพ่อรับหน้าที่เป็นหัวเรือใหญ่ทีมแมนเชสเตอร์ซิตี้ว่า “พ่อมีสิ่งท้าทายแล้ว เขาก็ไปแมนเชสเตอร์เลยนะ เรียกประชุม เอมอยู่กับพ่อก็ตามไปด้วย เรียกทีม management ทุกคนมาคุยหมด ทุกคนก็มาพรีเซนต์ให้คุณพ่อดู อย่างแผนกการตลาดเขาทำอย่างไร แผนกบัญชี แผนกการเงินทำอะไร ทรัพยากรบุคคลทำอะไร มีกันกี่คน วันนั้นเอมจำได้เลยว่าใช้เวลาตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึงทุ่มหนึ่ง นั่งอยู่ที่โต๊ะอย่างนั้น อย่างเอมอาจจะมีเวลาผ่อน เวลาพักบ้าง แอบไม่ฟังบ้าง แต่คุณพ่อต้องตอบโต้ตลอดเวลา คนพูดนี่ยังผลัดกันพูดจบก็จบ แต่คนฟังนี่ไม่ผลัด”
“เท่านั้นยังไม่พอ พอคนพูดจบแล้ว คุณพ่อก็เอาละ แสดงวิสัยทัศน์เลย ลุกขึ้นเขียนกระดานวาดให้ดูเลยว่าองค์กรของทีมเป็นแบบนี้ยังไงๆ ว่าไป ตอนนี้สถานการณ์ของแมนฯซิตี้อยู่ตรงนี้จะไปยังไง วิเคราะห์ให้ฝรั่งฟัง”
เจ้าหน้าที่ของแมนเชสเตอร์ซิตี้ต่างประทับใจในท่านประธานคนใหม่อย่างมาก เพราะได้เห็นถึงความใส่ใจ จริงใจ ช่วยสร้างความมั่นใจให้ทีมงานเป็นอย่างมากว่าท่านประธานคนใหม่จะนำพาเรือใบสีฟ้าสู่อนาคตสดใสแน่ๆ
เป็นจริงดังคาดหลังจาก ดร.ทักษิณ เข้ามาบริหารทีมแมนเชสเตอร์ซิตี้ ยักษ์หลับก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง จากทีมอันดับ 14 ของตารางพรีเมียร์ชิพซีซั่น 2006-07 ทำสกอร์ได้แค่ 29 ประตู แต่ถัดจากนั้นเพียง 3 เดือน เมื่อเริ่มต้นฤดูใหม่ 2007-08 เรือใบสีฟ้า แมนเชสเตอร์ซิตี้ ก็กลายเป็นทีมอันดับ 1 หลังจากชนะรวด 3 นัดแรก
เป็นความสำเร็จอันงดงาม และเป็นความทรงจำมิรู้ลืมของผู้สร้างตำนานคนไทยคนแรกผู้เป็นเจ้าของสโมสรทีมลีกฟุตบอลระดับโลก เป็นฝันอันยิ่งใหญ่ที่แต่ก่อนนักธุรกิจไทยไม่เคยกล้าฝัน..แต่ทุกฝันก็เป็นจริงได้
เพราะคนฝันชื่อ “ดร.ทักษิณ ชินวัตร”
(ข้อมูลจาก หนังสือ แม้วไม่โม้ เขียนโดย ฐปน วันชูเพลา และหนังสือ คนอื่นเรียกนายกฯ แต่เราเรียก..พ่อ เรียบเรียงจากบทสมภาษณ์ โอ๊ค เอม อิ๊ง)