ภาพถ่าย ดร. ทักษิณ ชินวัตร เมื่อปี พ.ศ. 2544
พรรคการเมืองไทยในอดีตมักตั้งชื่อเป็นภาษาบาลีสันสกฤตเพื่อแสดงความขรึมขลัง หรือไม่อย่างนั้นก็อิงคำกว้างๆ จนปราศจากความหมายที่ชัดเจน แต่ดร.ทักษิณ เลือกที่จะให้พรรคการเมืองซึ่งตัวเองเป็นผู้ก่อตั้งมีชื่อว่า “ไทยรักไทย” ซึ่งเรียบง่าย มีพลัง รวมทั้งสื่อสารวิสัยทัศน์บางอย่างทางสังคม
ในงานเปิดตัวพรรคอย่างเป็นทางการครั้งแรก เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2541 ดร.ทักษิณ อธิบายว่าพรรคไทยรักไทยหมายถึง “การรวมพลังความรักและความเสียสละของคนไทย เพื่อแก้ไขวิกฤตการณ์และฟื้นฟูประเทศไทย” โดยพรรคมีคำขวัญว่า “คิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคน”
ด้วยปณิธานในการสร้างพรรคเพื่อหลอมรวมความคิดใหม่ๆ และรวมพลังคนไทยทุกคน ดร.ทักษิณ ประกาศตั้งแต่ต้นว่าพรรคไทยรักไทยมีจุดยืนในการทำการเมืองแบบสร้างสรรค์ ไม่เล่นการเมืองแบบทำลายล้าง มุ่งผลักดันนโยบายที่ดีสู่การปฏิบัติ และปวารณาตัวเป็นทางเลือกใหม่ของสังคม (**1)
สังคมไทยช่วงที่ ดร.ทักษิณ ก่อตั้งพรรคไทยรักไทยเป็นสังคมที่ต้องการความเปลี่ยนแปลงคำขวัญ “คิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคน” จึงสอดคล้องกับความปรารถนาของสังคม และขณะเดียวกันก็เป็นเข็มทิศชี้นำการสร้างนโยบายพรรคผ่านกระบวนการคิดและองค์ความรู้ที่ประชาชนเป็นศูนย์กลาง
ด้วยจิตวิญญาณในการก่อตั้งซึ่งถูกแปลงเป็นยุทธศาสตร์การทำงานอย่างแม่นยำ พรรคไทยรักไทยได้รับความนิยมจากประชาชนทันทีที่ลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งแรกเมื่อวันที่ 6 มกราคม พ.ศ.2544 จนได้ ส.ส. 248 คน จากส.ส.ทั้งหมด500 คน และเป็นรัฐบาลแรกที่บริหารประเทศครบวาระ 4 ปี
(**2)
แม้พรรคไทยรักไทยจะประสบความสำเร็จในการทำงานการเมืองอย่างรวดเร็ว ดร.ทักษิณ และพรรคไทยรักไทยกลับไม่ยุติการพัฒนานโยบายพรรคที่เป็นประโยชน์และตอบสนองความต้องการของประชาชน เช่นเดียวกับการปรับปรุงการบริหารราชการในฐานะหัวหน้ารัฐบาล
ดร.ทักษิณ มีความเชื่อว่า “คู่แข่งของพรรคไทยรักไทย คือพรรคไทยรักไทยเอง ฉะนั้น ต้องทำวันนี้ให้ดีกว่าเมื่อวาน ทำพรุ่งนี้ให้ดีกว่าวันนี้ ตามหลักของ Social Contract Theory หรือสัญญาประชาคม ซึ่งถ้ายึดหลักนี้ คู่แข่งที่แท้จริงก็คือเราเอง” (**3)
ในงานสัมมนาสมาชิกพรรคไทยรักไทย เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ.2546 ดร.ทักษิณ กล่าวปาฐกถาเรื่อง “สถานการณ์การเมืองของประเทศ: ความพร้อมในการเข้าสู่การเลือกตั้งของพรรคไทยรักไทย” พูดถึงการพัฒนาแนวคิด “คิดใหม่ ทำใหม่” สู่การ “คิดอีก ทำอีก” เพื่อความสุขของคนไทย
“คราวที่แล้ว เราบอก คิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อคนไทยทุกคน คราวนี้เราจะต้องคิดอีกทำอีก เพื่อความสุขของคนไทยทั้งแผ่นดิน ฉะนั้นผมต้องทำอีก เพราะผมยัง Fresh อยู่
“วันนี้เราต้องคิดว่าจะทำนโยบายอะไรให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน เพราะนโยบายไปจากส่วนกลาง ถึงแม้จะประชาชนรับรู้และเห็นด้วย แต่กว่าที่จะมีผลกับประชาชนโดยตรง มันต้องผ่านกระบวนการ ท่านทั้งหลายมีหน้าที่ไปติดตามให้ทุกนโยบายไปถึงประชาชนให้ได้มากที่สุด” (**3)
เมื่อรัฐบาลพรรคไทยรักไทยบริหารประเทศครบ 4 ปี และนำเสนอตัวเองในการเลือกตั้งวันที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2548 ประชาชนจึงลงคะแนนเลือกพรรคท่วมท้นจนมี ส.ส.เป็นอันดับหนึ่งถึง 377 เสียง จากทั้งหมด 500 เสียง และจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ (**2)
วิวัฒนาการของความคิดเรื่อง “คิดใหม่ ทำใหม่ เพื่อไทยทุกคน” สู่แนวคิด “คิดอีก ทำอีก เพื่อความสุขของคนไทย” ทำให้ ดร.ทักษิณ บรรลุข้อสรุปว่าหลักการของพรรคไทยรักไทยได้แก่ “ไทยรักไทย หัวใจคือประชาชน”
ในการประชุมใหญ่สามัญของพรรคไทยรักไทยเมื่อวันที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2547 ดร.ทักษิณ ตั้งคำถามกับผู้ร่วมประชุมพรรคว่า “พวกเรามาอย่างไร?” จากนั้นก็ชวนให้ทุกคนเห็นว่า “เรามาจากประชาชน” และ “เราเป็นพรรคแรกที่ประชาชนเลือกจนมี ส.ส.เกินกึ่งหนึ่งในสภา”
ด้วยบริบทดังนี้ ดร.ทักษิณเสนอให้พรรคไทยรักไทยกตัญญูต่อประชาชนผู้มอบความไว้วางใจให้พรรคตลอดไป (**4) นั่นก็คือ
“พวกเราวันนี้ สมาชิกทั้งหลาย ผู้บริหารพรรค ได้รวมตัวมาเป็นคนคนหนึ่งชื่อ “ไทยรักไทย” ท่านทั้งหลายคือทุกเซลล์ของร่างกายมนุษย์ชื่อไทยรักไทย แต่มนุษย์ชื่อไทยรักไทยเหล่านี้จะเดินไม่ได้ เพราะไม่มีจิตวิญญาณ ซึ่งจิตวิญญาณของพรรคไทยรักไทยคือพี่น้องประชาชนทั้งแผ่นดิน”
“ทุกลมหายใจที่เราทำงานไป คิดไป เราต้องคิดเพื่อพี่น้องประชาชนทั้งแผ่นดิน ไม่ใช่คิดเพื่อเรา นโยบายทุกนโยบายของพรรคไทยรักไทย ไม่มีการคิดเพื่อตัวเอง เราคิดแต่เพื่อประชาชนและประเทศชาติบ้านเมือง”
ดร.ทักษิณ ชินวัตร ย้อนอดีตว่าพรรคไทยรักไทยลงพื้นที่ไปพบประชาชนช่วงที่มีการยกร่างนโยบาย จากนั้นพรรคก็เขียนนโยบายจนเสร็จแล้วลงพื้นที่เพื่อกลับไปสอบถามความเห็นประชาชนต่อ การมีส่วนร่วมของประชาชนจึงทำให้พรรคไทยรักไทยสร้างนโยบายรัฐบาลซึ่งตรงจุดที่สุดได้ตลอดเวลา
“คนไม่เข้าใจนึกว่าเราอาจจะทำงานโดยพลการ ความจริงเราถามประชาชนอยู่ตลอดเวลา
ดร.ทักษิณ เคยแสดงวิสัยทัศน์ต่อไปว่า
“ใครจะมาทำงานการเมือง แล้วใจไม่รักประชาชน อย่ามาทำการเมือง โดยเฉพาะอย่ามาอยู่ในไทยรักไทย เพราะปรัชญาของประชาธิปไตยบอกชัดเจนว่าเราต้อนรับคนทุกกลุ่มไปรับใช้ประเทศชาติและประชาชน ไม่ใช่การยึดเป็นอาชีพ จนลืมประชาชน” (**4)
ดร.ทักษิณ ชินวัตร ทิ้งท้ายเรื่องนี้เอาไว้ว่า “เราจะยึดมั่นการเป็นพรรคการเมืองที่มีประชาชนเป็นหัวใจ เราจะเป็นพรรคที่เต็มไปด้วยเมตตาธรรม และเราจะหล่อหลอมวัฒนธรรมของเราให้ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง มีประชาชนเป็นหัวใจ เป็นจิตวิญญาณของเรา” (**5)
อ้างอิง
**1 – หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 15 กรกฎาคม 2541 หน้าที่ 5
**2 – หนังสือ “ทักษิณ ชินวัตร ชีวิตและงาน” พิมพ์ครั้งแรก ตุลาคม 2558 หน้าที่ 118
**3 – หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันที่ 28 ธันวาคม 2546 หน้าที่ 1 , 2
**4 – หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันที่ 1 มีนาคม 2547 หน้าที่ A6
**5 – หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ฉบับวันที่ 1 มีนาคม 2547 หน้าที่ 3